![]() |
หลวงพ่อศักดิ์ วัดไทร สมุทรสงคราม ถ่ายปี พ.ศ. ๒๕๒๒ |
พระกรุวัดไทร สมุทรสงคราม เป็นพระกรุที่มีการแตกกรุในยุคของหลวงพ่อศักดิ์ วัดไทร ซึ่งช่วงนั้นวัดไทรได้เริ่มการบูรณะวัดขนานใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อศักดิ์ ท่านได้เริ่มบรูณะวัดเรื่อยมาตั้งแต่ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส
และการที่หลวงพ่อศักดิ์ได้ทำการบูรณะวัดนี้เอง ทำให้พระกรุต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่ภายในวัดไทรได้ถูกค้นพบ จากการรวบรวมข้อมูลพบว่ามีการค้นพบพระกรุดังนี้
💥พระกรุวัดไทร แตกกรุจากบันทึกของคุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์💥
ครั้งหนึ่งที่ผมไปกราบท่านตามปกติ หลวงพ่อศักดิ์เรียกให้ผมให้เข้าไปหาในห้อง พร้อมกับให้ดูสมุดข่อยลายแทงที่หลวงพ่อบอกว่า ได้ถูกเก็บไว้ในหีบของวัด สืบทอดกันมาหลายสมัยหลายสมภารแล้ว
ในลายแทงระบุไว้ว่ามีทอง มีของที่เป็นสมบัติของวัดที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ที่สมภารดั่งเดิมท่านบรรจุเอาไว้ เพื่อให้สมภารรุ่นหลังหากต้องการใช้ทุนเพื่อบูรณะวัด หรือเกิดเหตุที่เห็นควรว่าจะนำมาเพื่อเผยแพร่พระศาสนา
ผมอ่านดูหลายเที่ยว มีเพียงไม่กี่คำที่อ่านและแปลได้ (เพราะเป็นภาษาไทย) แต่ส่วนมากเป็นลายเขียนแบบภาษาบาลีที่พระท่านใช้กัน ท่านนั่งนิ่งมองดูกริยาของผม พลางถามว่า
"หลวงพ่อจะขุดสมบัติของวัด สนใจไหม"
ผมก้มลงกราบทันที พร้อมบอกว่าสนใจ เพราะอยากรู้อยากเห็น เพราะตั้งแต่มาฝากตัวเป็นศิษย์แล้วได้พบปาฏิหาริย์กับตัวเองตั้งแต่วันแรกเลยก็ว่าได้
ในที่สุดก็มาถึงวันที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมขุดกรุ เมื่อถึงวันนัด ผมได้เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเข้าพิธีกรรม
ขอเล่าย่อๆว่าได้มีการถือศีลล่วงหน้าก่อน ๗ วัน นุ่งขาวห่มขาวอยู่กับวัด อาบน้ำมนต์ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษก่อนร่วมพิธี
ผมจำได้ว่าวันนั้นมีลูกศิษย์ที่ได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมพิธีด้วยกันทั้งหมด ๓ คน มีผม(คุณสะอาด) กำนัน และครู(โรงเรียนวัดไทร)
ก่อนเริ่มพิธี มีการสวดมนต์ในวงสายสิญจน์กั้นที่เป็นอาณาเขตพิธีกรรมตรงเบื้องหน้าองค์พระประธานในพระอุโบสถ
หลวงพ่อศักดิ์กำชับนักกำชับหนาว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างพิธี ห้ามใครแหกออกนอกวงสายสิญจน์ไปจนกว่าหลวงพ่อจะบอกให้ออกได้
คือหมายความว่า เราต้องอยู่ร่วมกันจนกว่าพิธีเสร็จ ผมและทุกๆ คนต่างรับปากด้วยความระทึกใจ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
พิธีกรรมเริ่มเอาเมื่อเวลา ๐๑.๔๕ น. ของวันนั้น พวกเราเข้าไปรวมตัวกันอยู่ในโบสถ์ อยู่ในวงสายสิญจน์ที่มีอาณาเขตกว้างเพียง ๔ * ๔ เมตร เท่านั้นเอง เบื้องหน้าของหลวงพ่อมีเพียงบาตรน้ำมนต์ ธูปเทียน ดอกไม้ ที่จัดเป็นบายศรี และความเงียบสงบที่ดูขลัง
อิริยาบทของหลวงพ่อศักดิ์ ท่านดูสบายๆ แต่พวกเราทั้ง ๓ คน ดูออกได้เลยว่า รู้สึกจะไม่ค่อยสบายกันนัก สีหน้าทุกคนดูตื่นเต้นจนแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน
หลังจากที่หลวงพ่อจุดธูปเทียนแล้วปักลงตรงที่บูชาแล้ว ก็ได้ยินแต่เสียงบริกรรมคาถาพึมพัมเบาๆ ของหลวงพ่อเท่านั้นเอง
ตอนนั้นอย่าว่าแต่ใครจะขยับกายให้เกิดเสียงเลย แม้แต่เสียงหายใจของแต่ละคน ก็ยังได้ยินกันอย่างชัดเจน เวลาผ่านไป ถึง ๓ ชั่วโมง ได้ยินแต่เสียงบริกรรมคาถาของหลวงพ่อเพียงองค์เดียวเท่านั้น....
พวกเราทีแรกก็ขยับตัวเพื่อหลีกหนีความเมื่อยขบก้นที่ต้องนั่งนิ่งๆ นานๆ อยู่เป็นเวลานานๆ ในตอนเริ่มต้น แต่ยิ่งนานไปนานไป นานๆเข้าดูพวกเรากลับไม่มีใครยอมขยับเขยื้อนกัน
ทุกอย่างเงียบกริบลง...เงียบ...แม้แต่เสียงหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครจำได้ ก็ปรากฏมีเสียงลมเหมือนพายุพัดเสียงดังอู้ๆ อยู่ภายนอกโบสถ์
พวกเรายังนั่งนิ่งๆ กัน แต่ก็สับสนว่าเสียงที่เกิดขึ้นข้างนอกเป็นเสียงอะไรกันแน่ จะเป็นเสียงลมพายุที่เกิดขึ้นเองจริงๆ หรือเสียงอะไรกันแน่... เสียงดังอู้ๆ ของพายุ ฟังเหมือนยิ่งใกล้เข้ามา เพราะมันยิ่งดังใกล้เข้ามามากขึ้นทุกทีๆ....
แล้วจู่ๆ ก็ปรากฏเสียงเหมือนระเบิดดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั้งพระอุถโบสถ จนทุกคนรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับเสียงที่ดังขึ้นเหมือนที่ดังสนั่นนั่นเอง
เสียงพายุที่กำลังพัดอย่างแรง จนรู้สึกได้ว่ามีเสียงของน้ำที่กระฉอกพัดมากระทบกับฝาผนังพระอุโบสถด้านนอก...
ขณะที่เรากำลังตื่นกลัวกับเสียงพายุ เสียงลม เสียงประตูหน้่าต่างโบสถ์ที่เปิดดังปึงปังๆ ลั่นสนั่นไปทั้งโบสถ์ แต่...เทียนที่จุดไว้ทุกๆเล่ม ยังคงเปล่งเปลวเพลิงอย่างเป็นปกติ เสมือนไร้สายลมใดๆ ที่กำลังได้ยินกันอยู๋แม้แต่น้อย...
ผมสับสน เพราะไม่รู้อันไหนเป็นจริง อันไหนเป็นภาพที่ไม่จริง ผมยืนยันได้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้น
หลวงพ่อนั่งบริกรรมอยู่อย่างสงบ ลูกศิษย์ทั้งสามคมที่นั่งอยู่ในวงล้อมสายสิญจน์ ผมเชื่อว่าไม่มีใครสงบได้ แต่ก็สะกดใจกันเอาไว้ เพราะมีหลวงพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ชั่วอึดใจน้ำก็ท่วมท้นไหลเข้ามาตามหน้าต่างทุกๆ บานของพระอุโบสถ แต่น่าประหลาดที่สายน้ำที่ทะลักกันเข้ามาทางหน้าต่างนั้น พอมาถึงวงสายสิญจน์มันกลับสบายหายไปดื้อๆ ไร้ร่องรอยใดๆทั้งสิ้น บริเวณเสื่อที่ปูนั่งอยู่เป็นปกติ ไม่เปียกไม่ชื้นเลย
![]() |
นายสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ลูกศิษย์หลวงพ่อศักดิ์ วัดไทร สมุทรสงคราม |
เรื่องเล่าทั้งหมดนี้เหมือนมายา มันเป็นภาพลวงตาอะไรประมาณนั้น มันเหมือนกับการต่อสู่กันของอะไรซักอย่างที่เราไม่อาจตอบได้ เหตุกาณ์ดำเนินไปได้ประมาณ ๑๐ นาทีกว่าๆ ทุกอย่างก็ค่อยๆสงบลง
ผมจ้องดูหลวงพ่อ พบว่าท่านยังอยู่ในอิริยาบทเดิม ทุกคนถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มสงบลงแล้ว แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด ขนหัว และตามแขนจามขาทั้งตัว เพราะน้ำที่ทะลักเข้ามาในโบสถ์กลับเข้ามาอย่างมากมายกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า
เสียงครูศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อร้องตะโกน และด้วยความตกใจกลัวจนระงับสติไว้ไม่ได้ ครูก็ผุดลุกยืนขึ้น แล้วกระโจนออกไปจากวงล้อมสายสิญจน์ ผมและกำนัน ศิษย์อีกคนของหลวงพ่อขยับตัวยืนขึ้น
เสียงหลวงพ่อก็ตวาดลั่นให้นั่งลง แล้วท่านก็ยังคงบริกรรมของท่านต่อไปเหมือนเดิม เหตุการณ์ที่เห็นเหมือน เดี๋ยวอ่อนลงและขยับรุนแรงขึ้นและมากขึ้น แล้วก็อ่อนลง เป็นระยะๆ
และเกือบทำให้ผมช็อกจนหัวใจหยุดเต้น เมื่อปรากกว่า มีร่างของอสูรกาย (ไม่รู้จะเรียกอะไรดี มันมีร่างคล้ายคนเรานี่แหล่ะ ผิวสีดำเป็นถ่าน ไม่นุ่งผ้าผ่อนอะไรเลย ตัวโตขนาดซัก ๒ เท่าของคนปกติ) จู่ๆก็โผ่ลพรวดออกมาทางหลังพระประธานในโบสถ์
ท่าทางน่ากลัวมือไม้สะเปะสะปะยืดขึ้นไปจนเกือบถึงเพดานโบสถ์ ผมยอมรับว่ากลัวจนปัสสาวะแทบราดเพราะความกลัว
โชคดีที่ยังมีสติและยังยึดคำมั่นสัญญาที่หลวงพ่อสั่งเอาไว้ก่อนเริ่มพิธี ที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้อยู่ในวงล้อมของสายสิญจน์เท่านั้น
ผมและกำนันแทบจะกระโดดเข้ากอดกันเพราะความกลัว แต่ก็พยายามใช้สตินั่งดูเจ้าอสูรกายที่ทำท่าทางต่างๆ เพื่อให้เรากลัว พักใหญ่ๆ มันก็ค่อยๆ จางหายไปตรงหน้าพระประธานฯ
ตอนนั้น ดูทุกอย่างทำท่าว่าจะสงบลงแล้ว เสียงต่างๆที่เกิดขึ้นค่อยๆหายไป กลายเป็นความเงียบสงบ เสียงไก่ขันดังเข้ามาบอกว่าจะเช้าแล้ว
หลวงพ่อศักดิ์เอื้อมมือไปหยิบม้วนสายสิญจน์ในพาน ตรงดอกไม้บูชาในพิธีตรงหน้า มาถือไว้ในมือตรงหน้าตักของท่าน แล้วยังคงบริกรรมคาถาต่อเป็นปกติอยู่พักใหญ่ๆ
จู่ๆ สายสิญจน์ที่อยู่ในมือหลวงพ่อเหมือนถูกเหวี่ยงออกไปจากหน้าตัก ลอยออกไปทางประตูพระอุโบสถ
หลวงพ่อท่านจึงหยุดบริกรรมคาถา แล้วลืมตาขึ้นหันมายิ้มให้กับพวกเราว่า "เอ๊าเสร็จกันเสียที ช่วยกันออกไปดูซิว่า ไอ้ครู มันออกไปเป็นอย่างไรมั่ง...อ้อ...มาพรมน้ำมนต์กันเสียก่อนออกจากวงสายสิญจน์"
ท่านประพรมน้ำมันต์ให้แล้วลุกขึ้นยืน พลางสั่งให้เอาบาตรน้ำมนต์เดินตามท่านออกไปด้วย ข้างนอกโบสถ์ ตรงพื้นดินห่างออกไปซัก ๑๕ เมตร พบครูกำลังว่ายบกอยู่อย่างเสียสติกับพื้นกรวดทรายจนหน้าอกถลอกปอกเปิกเป็นแผลเลือดซึม
หลวงพ่อส่ายหน้า พลางเอาน้ำมนต์มาประพรมให้ซักครู่อาการว่ายบกจึงสงบลง หันไปทางสายสิญจน์ที่พุ่งลอดออกมาหน้าโบสถ์ แล้วเดินตามไปหยุดอยู่ที่ต้นมะขามโบราณขนาดใหญ่ขนาด ๓-๔ คนโอบ
พวกเราเห็นกับตาว่าสายสิญจน์ที่พุ่งออกมาจากพระอุโยสถนั้น ได้ลอยมาพันอยู่รอบๆ ลำต้นของมะขามโบราณต้นนั้น
หลวงพ่อหันมาทางศิษย์ของท่าน แล้วสั่งให้ขึ้นไปดูที่ง่ามบนต้นมะขามทีว่า บนนั้นมีอะไรไหม....แล้วท่านก็หันมาชวนผมให้เดินตามทานไปบนกุฏิ
เมื่อมาถึงกุฏิหลวงพ่อ ท่านนำน้ำมนต์ให้ครูดื่ม และเทลงในตุ่มก่อนที่จะอาบน้ำมนต์ให้กับครูก่อนที่ท่านจะมานั่งจิบน้ำชาที่หน้ากุฏิ
สักครู่ กำนันเข้าไปกราบรายงานให้หลวงพ่อทราบว่า บนต้นมะขามใหญ่ตรงคบไม้ข้างบนนั้น มีโพลงไม้ซ่อนบาตรพระทองคำอยู่ลูกหนึ่ง แต่มันหนักมาก ยังไม่กล้าเอาลงมา จะเอาบันไดกับเด็กไปช่วย แล้วก็กราบขอตัวไป
จากพิธีขุดกรุของวัดไทรในครั้งนั้น ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาได้พระยอดธง (ทองคำ) พระสมเด็จ (เนื้อเดียวกันกับวัดระฆัง พิมพ์ทรงที่เล็กกว่าเล็กน้อย) ได้พระเนื้อดิน นางพระยาสี่สี (แดง น้ำเงิน เขียว ดำ) พระยอดขุนพล พระท่ากระดาน และพระเจ้าน้ำเงิน ฯลฯ
จากกิตตศัพท์วัดไทรกรุแตก ผู้คนก็แห่แหนกันไปกราบขอกันมืดฟ้ามัวดิน ซึ่งท่านก็ไม่ได้หวง ใครมาขอท่านก็ให้ทุกรายไปจนหมด.
![]() |
หลวงพ่อศักดิ์ วัดไทร สมุทรสงคราม |
💥พระกรุวัดไทร แตกกรุจากคำบอกเล่าของญาติหลวงพ่อ💥
หลวงพ่อศักดิ์ ท่านบูรณะและเริ่มขุดแต่งพระอุโบสถ(หลังเก่า) เพื่อขอวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ทำให้มีการขุดพบพระยอดขุนพล และพระนางพญา กรุวัดไทร ในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๑ - ๒๕๐๒
โดยการปรับปรุงพื้นที่บริเวณพระอุโบสถเพื่อขอวิสุงคามสีมาครั้งนั้น ทำกันเองเงียบๆภายในวัด โดยให้แรงงานของพระภิกษุและสามเณร รวมทั้งอุบาสก-อุบาสิกา ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อศักดิ์เท่านั้น
และเมื่อญาติโยมช่วยกันขุดถากปรับแต่งพื้นที่รอบพระอุโบสถ ในการขุดครั้งนั้นได้มีพระแตกกรุออกมาจำนวน ๑ ไห (หม้อคะนน) คนที่ขุดเจอชื่อนายเติม มีเงิน บุตรของนายเงิน มีเงิน(โยมอุปฐาก(พ่อบุญธรรม) ที่นำหลวงพ่อศักดิ์มาบวช) ขุดได้ที่ใต้ต้นโพธิ์หน้าพระอุโบสถ
แรกเริ่มที่ขุดพบนายเติม ได้นำพระกลับไปบ้านโดยไม่ได้บอกใคร แต่เมื่อความทราบถึงหลวงพ่อศักดิ์ ท่านจึงใช้ลูกศิษย์ที่เป็นตำรวจ ๓ - ๔ นายไปตามพระชุดนั้นกลับมาจากนายเติม จนได้พระกลับคืนมาแต่โดยดี
ซึ่งพระในไห (หม้อคะนน) นั้นประกอบไปด้วย พระเนืัอชินขนาดเล็ก (ปัจจุบันเรียกกันว่า พระยอดขุนพลวัดไทร) ในสมัยนั้นตำรวจที่ไปขอคืนจากนายเติม นั้นไม่มีการนับจำนวนว่าได้คืนกลับไปหมดหรือไม่
และตำรวจชุดที่ไปขอคืนก็ได้รับแจกไปด้วยคนละองค์ ซึ่งตำรวจท่านนี้เมื่อได้รับพระไปใช้เกิดมีประสบการณ์ จึงบอกต่อๆกันในหมู่ตำรวจ-ทหาร ทำให้ทหารตำรวจที่ทราบข่าวจึงมุ่งหน้ามาขอพระกรุดังกล่าวและหลวงพ่อได้แจกไปจนหมด
💥พระยอดขุนพลวัดไทร แตกกรุสมัยหลวงพ่อเผือด💥
จากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อศักดิ์ เล่าว่าพอถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หลวงพ่อศักดิ์มรณภาพ โดยมีหลวงพ่อเผือดขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน
ราวปี พ.ศ. ๒๕๒๕ - ๒๕๒๖ หลวงพ่อเผือดได้ทำการบูรณพระอุโบสถ จึงได้ทำการยกพระประธาน พบพระยอดขุนพลบรรจุอยู่ในหม้อคะนน จำนวน ๑ ใบ ภายในนั้นพบพระยอดขุนพลอีกจำนวนหนึ่ง
หลวงพ่อเผือด ท่านได้จึงนำออกให้บูชาทำบุญเพื่อนำเงินมาสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ โดยพระแจกทำบุญไปจนหมด
💥พระกลีบบัววัดไทร💥
สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. ๒๕๑๖ - ๒๕๑๘ คุณต๋อยลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อศักดิ์เล่าว่า สร้างโดยอาจารย์พัว ฆราวาสที่อาศัยอยู่ข้างวัด อาจารย์พัวผู้นี้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคม ได้ทำการสร้างพระกลีบบัวไว้เป็นจำนวนถึง ๔ โอ่งมังกร ลักษณะเป็นพระพิมพ์กลีบบัวคล้ายกับพระกลีบบัวของของพระใบฏีกาเกลี้ยง วัดสุทัศน์ฯ แต่พิมพ์พระและเนื้อพระมีความต่างกันเล็กน้อย
ส่วนผสมหลักคือผงวิเศษต่างๆที่อาจารย์พัวเรียบเรียงไว้เองผสมกับผงปูนซีเมนต์ โดยพระทั้งหมดถูกนำมาปลุกเสกภายในพระอุโบสถมหาอุดต์ของทางวัด
![]() |
พระกรุ วัดไทร พร้อมซองเดิมจากวัด |
สมัยนั้นพออาจารย์พัวสร้างเสร็จก็ไม่ได้นำไปไหน แต่ให้ไว้ที่วัดเพื่อให้แจกชาวบ้าน แต่ชาวบ้านไม่ค่อยจะสนใจ จะมีก็แต่พวกทหารอากาศที่มาขอไปแจกกันภายในกองทัพ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงปลายของสงครามเวียดนาม หรือที่เรียกกันว่าสงครามอินโดจีนครั้งที่ ๒
โดยคุณต๋อย รับหน้าที่นำพระกลีบบัวให้กับกลุ่มทหารอากาศที่มาขอ ซึ่งแต่ละครั้งที่มาจะแจกให้ไปครั้งละ ๕๐๐ องค์ คุณวิเศษดีเด่นทางไหนคุณต๋อย ไม่ได้สนใจเพราะยังเป็นเด็กช่วงวัยรุ่น ทราบแต่ว่ามาขอหลายครั้ง
ภายหลังหลวงพ่อศักดิ์ จึงให้นำพระทั้งหมดที่เหลือแจกมาเก็บไว้ที่กุฏิโดยมี ตาแป๊ะศิษย์ใกล้ชิดที่หลวงพ่อไว้วางใจเป็นผู้ถือกุญแจเก็บรักษาไว้
ภายหลังพอมาถึงยุคหลวงพ่อเผือด เป็นเจ้าอาวาสจึงนำออกมาแจกให้กับผู้ที่ทำบุญบริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด โดยมีลูกศิษย์วัดได้ช่วยทำซองมาใส่พระเพื่อออกให้บูชา
แต่เข้าใจผิดคิดว่าคือพระกรุ ของวัดไทร จึงพิมพ์ใบคำฝอยผิดไป แท้จริงแล้วมิใช่พระกรุวัดไทรแต่อย่างใด
![]() |
หลวงพ่อศักดิ์ วัดไทร สมุทรสงคราม กับคณะภิกษุ-สามเณร-แม่ชี-นักเรียน ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงพ่อเผือด องค์แรกยืนซ้ายสุด |
พระสมเด็จหลวงพ่อศักดิ์ วัดไทร
เป็นพระอีกรุ่นที่เข้าใจผิดกันมาตลอดว่าคือพระสมเด็จกรุเพดานโบสถ์วัดไทร ซึ่งพระสมเด็จที่เป็นพระกรุวัดไทรนี้ไม่มีอยู่จริง แต่เซียนพระอุปโลกเพื่อให้ขายพระให้ได้ราคา
แต่เป็นสมเด็จที่หลวงพ่อศักดิ์สร้างขึ้น ถึงแม้จะเป็นพระใหม่ที่สร้างในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ กว่าๆ แต่ก็มีมวลสารพระเก่าๆ เชื่อกันว่ามีมวลสารของสมเด็จบางขุนพรหมผสมอยู่ด้วย จึงจัดเป็นของดีที่น่าสะสมบูชาเป็นอย่างยิ่ง จำนวนการสร้างน้อยเพราะหลวงพ่อกดพิมพ์พระเอง
ในส่วนของสมเด็จของวัดไทรนั้น จริงๆก็มีอยู่แต่สร้างขึ้นในสมัยหลวงพ่ออ่วม เป็นพระสมเด็จเนื้อผงสีขาวนวลเก่าด้านหลังไม่ปรากฏอักขระใดๆ มีจำนวนการสร้างน้อยมาก (เข้าใจว่าคงจะเป็นพระสมเด็จที่คุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์เล่าว่าเจอจากการเปิดกรุ)
วัตถุมงคลกรุวัดไทร สมุทรสงคราม
พระยอดขุนพลกรุวัดไทร
แตกกรุในปี พ.ศ. ๒๕๐๑- ๒๕๐๒ โดยนายเติม มีเงินเป็นผู้ขุดพบ หลังจากที่ขุดพบได้นำพระติดตัวกลับบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร จนความทราบถึงหลวงพ่อศักดิ์จึงให้ศิษย์ใกล้ชิดไปขอคืน และแจกให้กับศิษย์ของท่านจนหมดไป ลักษณะเป็นพระเนื้อชินตะกั่วบางๆ มีเอกลักษณ์ พิมพ์พระไม่เหมือนใคร จำนวนที่ค้นพบไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
พระยอดขุนพล กรุวัดไทร สมุทรสงคราม ของคุณอรรถพันธ์ พิมพ์รัตน์ |
![]() |
พระยอดขุนพล กรุวัดไทร สมุทรสงคราม ของคุณวสันต์ มีแก้ว |
![]() |
พระยอดขุนพล กรุวัดไทร สมุทรสงคราม |
ด้านหน้า จำลองเป็นพระพุทธปางมารวิชัย องค์พระปรากฏพระขนง พระเนตร และพระโอษฐ์เด่นชัด องค์พระห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ
ด้านหลัง มีเนื้อดินแดงๆ เรียบไปกับพื้นหลัง เพราะว่าพระด้านหน้าบางมาก
พระนางพญากรุวัดไทร
แตกกรุในปี พ.ศ. ๒๕๐๑- ๒๕๐๒ โดยนายเติม มีเงินเป็นผู้ขุดพบ หลังจากที่ขุดพบได้นำพระติดตัวกลับบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร จนความทราบถึงหลวงพ่อศักดิ์จึงให้ศิษย์ใกล้ชิดไปขอคืน และแจกให้กับศิษย์ของท่านจนหมดไป ลักษณะเป็นพระเนื้อดินผสมผง เนื้อพระที่พบมีทั้งสีแดง สีดำ สีน้ำเงิน และสีเขียว จำนวนที่ค้นพบไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
![]() |
พระนางพญา กรุวัดไทร (เนื้อสีแดง) สมุทรสงคราม |
![]() |
พระนางพญา กรุวัดไทร (เนื้อสีแดง) สมุทรสงคราม |
ด้านหน้า จำลองเป็นพระพุทธปางมารวิชัย องค์พระพาดผ้าสังฆาฏิ
ด้านหลัง เรียบไม่ปรากฏอักขระใดๆ องค์พระหนา
พระกลีบบัววัดไทร
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ - ๒๕๑๗ โดยอาจารย์พัว ฆราวาสที่อาศัยอยู่ข้างวัดไทรเป็นผู้สร้าง ที่นำมาให้กับทางวัด ลักษณะเป็นพระเนื้อผงทรงกลีบบัว เนื้อปูนซีเมนท์ผสมผง จำนวนการสร้างประมาณ ๔ โอ่ง
![]() |
พระกลีบบัว วัดไทร สมุทรสงคราม เนื้อผงผสมปูนซีเมนต์ |
![]() |
พระกลีบบัว วัดไทร สมุทรสงคราม (ข้าง) เนื้อผงผสมปูนซีเมนต์ |
ด้านหน้า จำลองเป็นพระพุทธปางสมาธิ ขอบข้างองค์พระมีลายกนกสวยงาม
ด้านหลัง เรียบไม่ปรากฏอักขระใดๆ พื้นองค์พระมีรูที่เกิดจากฟองอากาศ
โดย : สารานุกรมพระเครื่องลุ่มน้ำแม่กลอง
บทความที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น