เหรียญหล่อหลวงปู่แก้ว วัดนางสาว เหรียญหล่อเก่าที่หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วมาช่วยสร้าง
หลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว สมุทรสาคร |
พระหล่อหลวงปู่แก้ว วัดนางสาว สมุทรสาคร สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 หลวงพ่อแก้วท่านได้จัดทำพิธีเททองหล่อพระประธานได้แก่ หลวงพ่อดำ เพื่อประดิษฐานในอุโบสถหลังใหม่ ที่กำลังก่อสร้างขึ้น
ในการนี้ท่านได้หล่อพระเครื่องอีก 3 พิมพ์ คือ พิมพ์พระพุทธชินราช พิมพ์หลวงพ่อโต (ปางสมาธิปรกโพธิ์) และพิมพ์ปิดตามหาอุด
โดยนำชนวนโลหะที่เหลือจากหล่อพระประธาน ซึ่งคือเนื้อทองผสมแก้ทองเหลืองที่เหลือ มาเททองหล่อพระแบบโบราณ
หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ของวัดนางสาว |
ในการหล่อครั้งนั้น ด้วยหลวงพ่อแก้ว มีความเคารพนับถือหลวงปู่บุญมาก อีกทั้งชาติภูมิเดิมของหลวงปู่บุญ เป็นชาวตำบลท่าไม้ (หรือ อำเภอกระทุ่มแบน ในปัจจุบัน) มาก่อน
ท่านจึงได้นิมนต์หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ (สมัยนั้น “วัดนางสาว” ขึ้นอยู่กับมณฑลนครชัยศรี) พร้อมด้วยพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยนั้นร่วมนั่งปรกปลุกเสก อาทิ
หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม
หลวงพ่อห้อย วัดหอมเกร็ด
หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน
หลวงพ่ออาจ วัดดอนไก่ดี
พระอาจารย์พา วัดระฆังฯ
หลวงปู่แก้ว วัดนางสาว ฯลฯ
ในบางตำรามีการกล่าวอ้างว่า หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ได้มาร่วมปลุกเสกด้วย แต่จากการสืบค้นพบว่าหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตกได้มรณภาพเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2459 จึงไม่ได้มาเสกด้วย
พระหล่อโบราณ ทั้ง 3 พิมพ์ เป็นฝีมือช่างคนเดียวกับที่แกะแม่พิมพ์เหรียญเจ้าสัว หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และที่สำคัญ ฎีกา (หนังสือ) ที่หลวงปู่แก้ว วัดนางสาว ได้นิมนต์หลวงปู่บุญ
ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็น "ประธานคณะกรรมการคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม, สมุทรสาคร, และสุพรรณบุรี" มาเป็นประธานในพิธีหล่อพระที่วัดนางสาว ปี พ.ศ. 2464 นั้นยังเก็บรักษาไว้ในตู้กระจกที่พิพิธภัณฑ์พระพุทธวิถีนายก วัดกลางบางแก้ว จนถึงทุกวันนี้
พระหล่อหลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว ทั้ง 3 พิมพ์ จะมีขนาดกว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาวประมาณ 2.5 ซม. โดยใช้แม่พิมพ์เป็นแบบพระแผง มีองค์พระหลายๆองค์วางเรียงกัน เมื่อเนื้อโลหะเย็นลงแล้ว จึงนำมาตัดแบ่งออกเป็นองค์ๆ จุดสำคัญของพระพิมพ์นี้คือ หากดูด้านข้างจะเห็นเนื้อพระเป็น 2 ชั้น มีรอยตะไบ
พระหล่อหลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว พิมพ์พระพุทธชินราช ปี พ.ศ. 2464 |
พระหล่อหลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว พิมพ์หลวงพ่อโต(ปรกโพธิ์) ปี พ.ศ. 2464 |
พระหล่อหลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว พิมพ์ปิดตา ปี พ.ศ. 2464 |
ประวัติ :
หลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว ท่านมีนามเดิมว่า แก้ว ท่านเกิดวันพฤหัสบดี เดือน 8 ปีระกา จุลศักราช 1223 ตรงกับปี พ.ศ. 2404 ที่บ้านคลองกระทุ่มแบน อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร โยมบิดาท่านชื่อ ภู่ มารดาชื่อ น้อย ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 9 คน โดยท่านเป็นบุตรคนที่ 6
ปี พ.ศ. 2413 เมื่อท่านอายุได้ 9 ปี โยมบิดาและโยมมารดาของท่าน ได้นำท่านไปฝากไว้ที่วัดนางสาว เพื่อศึกษาวิชาเขียนอ่าน
ปี พ.ศ. 2417 หลวงพ่อแก้ว มีอายุได้ 13๓ ปี จึงได้ไปศึกษาบาลีอยู่ทีวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ แต่ได้เกิดโรคเบียดเบียน(ป่วย) จึงศึกษาได้ไม่สะดวกนัก พออายุได้ 19 ปี ต้องกลับมารักษาตัวอยู่ที่วัดนางสาวและที่บ้านโยมพ่อโยมแม่
ปี พ.ศ. 2430 หลังจากที่หลวงพ่อแก้ว หายป่วยแล้ว ขณะนั้นท่านอายุได้ 26 ปี ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดนางสาว ตำบลนางสาว อำเภอตลาดใหม่ จังหวัดนครปฐม ซึ่งปัจจุบันมีการแบ่งเขตปกครองใหม่เป็นตำบลท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ได้รับฉายาว่า "ติสสสุวัณโณ" โดยมี
พระอธิการนิล วัดนางสาว เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อเกิด เป็นพระกรรมวาจาจารย์
เมื่อหลวงพ่อแก้วได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดนางสาว เพื่อได้อยู่ปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ และได้เรียนกรรมฐานจากหลวงปู่นิลด้วย พอได้พรรษา 1 แล้ว ท่านได้ลาพระอธิการนิล ไปรุขมูลกับพระอาจารย์เซ่ง วัดหงษ์ ตำบลท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร
ครั้นกลับมาแล้วได้อยู่เรียนวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์ทับ เจ้าอาวาสวัดหงษ์ เป็นเวลาถึง 7 พรรษา (หลวงพ่อทับ วัดหงษ์ ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเกจิเฒ่าจอมขมังเวทย์ของเมืองสาครบุรี)
ปี พ.ศ. 2438 เมื่อท่านสำเร็จวิชาต่างๆ จากพระอธิการทับหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงได้ย้ายกลับมาจำพรรษาอยู่วัดนางสาวอีก 1 พรรษา
ปี พ.ศ. 2439 เมื่อพรรษาที่ 9 ท่านจึงได้ไปศึกษาบาลีที่วัดบพิตรภิมุข กรุงเพทฯ เรียนบาลีอยู่ 2 พรรษา แต่อาการป่วยของท่านได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง ท่านจึงกลับมาพักอยู่ที่วัดหนองพะอง คลองภาษีเจริญอีก 1 พรรษา
ปี พ.ศ. 2442 ท่านจึงได้กลับจำพรรษาอยู่ที่วัดนางสาว เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม และเป็นอาจารย์สอนคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ แก่บรรพชิตแลคฤหัสถ์ตามโอกาสสมควร
ปี พ.ศ. 2445 เมื่อหลวงพ่อแก้วบวชได้ 15 พรรษา พวกสัตยบุรุษมีความเลื่อมใสในตัวท่าน จึงอาราธนาให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และเมื่อพระอธิการแสง เจ้าอาวาสวัดนางสาวได้มรณภาพลง (หลวงพ่อแสงเป็นเจ้าอาวาสต่อจากพระอธิการนิล) ท่านจึงได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าบรรพชิตและคฤหัสถ์จัดการปลงศพหลวงพ่อแสงเสร็จแล้ว ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดนางสาวสืบมา
พระอุโบสถมหาอุด วัดนางสาว สมุทรสาคร |
วัดนางสาว หรือ วัดพรหมจารีราม เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา มีอายุมากกว่า 400 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ตำบลท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร มีเรื่องเล่ากันว่า มีกลุ่มชาวไทยกลุ่มหนึ่งอพยพหนีภัยสงครามพม่า มาอาศัยอยู่บริเวณวัดร้างแห่งนี้ พม่าได้ติดตามมาทัน จนเกิดการสู้รบกันขึ้น
โดยชายไทยฉกรรจ์เข้าต่อสู้กับทหารพม่า ส่วนเด็ก ผู้หญิง และคนชรา พากันหลบหนีเข้าไปอยู่ในโบสถ์เก่าหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นโบสถ์มหาอุด ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูเข้าทางเดียว มีผู้หญิง ๒ คนซึ่งเป็นพี่น้องกัน
ได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์ว่า หากรอดพ้นจากภัยอันตรายครั้งนี้ได้ จะบูรณะโบสถ์หลังนี้ และเสนาสนะต่างๆ ในวัดนี้ให้ดีขึ้น ปรากฏว่าการสู้รบชายฉกรรจ์ชาวไทยชนะทหารพม่า ทุกคนที่หลบซ่อนอยู่ในโบสถ์มหาอุดต่างปลอดภัย
ต่อมาพี่น้องสองสาวจึงคิดที่จะบูรณะโบสถ์และวัดตามที่ได้อธิษฐานไว้ แต่คนพี่เห็นว่าเป็นโบสถ์เก่ายากการแก่การบูรณะ จึงได้ไปสร้างวัดขึ้นใหม่อีก ชื่อว่า “วัดกกเตย” แต่ชาวบ้านมักจะเรียกว่า “วัดพี่สาว” ซึ่งปัจจุบันได้ถูกน้ำเซาะพังไปหมดแล้ว
ส่วนหญิงคนน้องได้ครองตัวเป็นโสด ได้บูรณะโบสถ์และวัดร้างดังกล่าว ตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้จนสำเร็จ ชาวบ้านเรียกชื่อนี้ว่า วัดพรหมจารีราม แต่คนส่วนใหญ่มักจะเรียกว่า วัดน้องสาว ต่อมาได้เพี้ยนกลายเป็น วัดนางสาว จนถึงทุกวันนี้
เดิมวัดนี้ตั้งอยู่ในเขตมณฑลนครชัยศรี แต่ครั้นเมื่อมีการยุบการปกครองแบบมณฑล มีการแบ่งเขตกันใหม่ วัดนางสาวจึงตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
วัดนางสาวเป็นวัดที่มีพระอุโบสถมหาอุด คือ โบสถ์ที่ไม่มีหน้าต่าง และมีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียว โบราณาจารย์นิยมใช้เป็นสถานที่เหมาะแก่การปลุกเสกพระเครื่องรางของขลัง เพราะจะทำให้มีอานุภาพทางมหาอุด แคล้วคลาดปลอดภัย และคงกระพันชาตรี ซึ่งพระอุโบสถแบบนี้หาได้ยากมากแล้วในปัจจุบัน
หนังสืองานศพหลวงพ่อแก้ว วัดนางสาว สมุทรสาคร ตีพิมพ์ ปี พ.ศ. 2474(ปกพิมพ์ผิด) |
หลังจากที่หลวงพ่อแก้ว ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดนางสาว ท่านได้พัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการสร้างเสนาสนะต่างๆ ทั้งจัดการก่อสร้าง และการปฎิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัด และปรารภถึงอุโบสถเก่าที่ตลิ่งเริ่มพังเข้ามาใกล้อุโบสถ(โบสถ์มหาอุตในปัจจุบัน) จึงจัดการเริ่มก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น
และด้วยคุณงามความดีของหลวงพ่อแก้ว ที่พัฒนาวัดอย่างต่อเนื่อง ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน เจ้าคณะหมวดนาวสาว(เจ้าคณะตำบลในสมัยนี้) และพระอุปัชฌาย์เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2459 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 56 ปี พรรษาที่ 31
หลวงพ่อแก้ว มรณภาพลงเมื่อวันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2473 นับรวมสิริอายุได้ 70 ปี 44 พรรษา และได้รับการประชุมเพลิงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2474
ข้อมูล : คุณโอ กระทุ่มแบน
โดย : สารานุกรมพระเครื่องลุ่มน้ำแม่กลอง
บทความที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีความคิดเห็น